"เที่ยวบ้าง อะไรบ้าง" ตอน ตระเวนผิงตง(3)
ก๊อก..ก๊อก เสียงเคาะประตูห้อง ปลุกให้ผมตื่น รู้สึกพึ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง ผมเดินไปเปิดประตู พบชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้าห้องพร้อมทักทายผมเป็นภาษาอังกฤษ เขาขอเอกสารประจำตัวผมเพื่อบันทึกข้อมูลแขกที่มาพัก ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ตอนเข้ามาเราเองก็ยังไม่ได้แสดงหลักฐานประจำตัวอะไรให้เขาเลยนี่นา ก็หลังจากอาม่าพาขึ้นมาดูห้อง ผมตกลงจะพักที่นี่แล้วก็จ่ายเงินให้อาม่าไป จากนั้นก็อาบน้ำ และนอนหลับจากความเหนื่อยล้าที่เดินมาทั้งวัน
หลังจากเขาบันทึกข้อมูลของผมเสร็จ เขาก็ถามผมว่าต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่า? ผมก็ถามว่าผมออกไปหาซื้อของได้ใช่ไหม?(ตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม) เขาก็ตอบว่าได้(เฮียพยายามใช้ภาษาอังกฤษกับผม แต่ผมรู้สึกว่าจะง่ายสำหรับเฮียมากกว่าถ้าใช้ภาษาจีนกลางเพราะผมก็พอพูดได้ จึงคุยโต้ตอบเฮียเป็นภาษาจีนกลาง แต่เฮียก็ยังพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี ถ้าใครมาเห็นการสนทนาของเราสองคน คงตลกน่าดู คนหนึ่งถามเป็นภาษาอังกฤษ อีกคนตอบเป็นภาษาจีนกลาง แต่ก็คุยกันรู้เรื่อง นี่อาจเรียกได้ว่า 'คุยคนละภาษาก็เข้าใจกันได้')
พูดถึงห้องพักที่เมืองผิงตง ราคาคืนละ 500 เหรียญไต้หวัน ราคาต่างกันมากกับห้องพักในเมืองเกาสงที่ผมไปพักคืนแรก สภาพภายในห้องก็ย่อมต่างกัน
ภาพนี้เป็นภาพเดียว ที่ผมได้ถ่ายภายในห้องพักคืนนั้น รู้สึกสะดุดตากับเครื่องปรับอากาศ ผมขออนุญาตเรียกว่า "แอร์กล่อง" ละกัน จากที่ผมสังเกต ที่ไต้หวันนี้ค่อนข้างนิยมใช้แอร์กล่องแบบนี้(จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ไม่ได้อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งใด) สภาพค่อนข้างเก่า เวลาเปิด เสียงดังพอสมควร แต่เย็นเฉียบเลยนะครับ คืนนั้นผมก็ไม่ได้เปิดใช้หรอกครับ อยู่ในช่วงหน้าหนาวกลางคืนอุณหภูมิอยู่ที่ 13-15 องศาเซลเซียส เลยทีเดียว ภายในห้องก็ค่อนข้างเก่า มีทีวีเครื่องเล็ก ห้องน้ำเล็ก เตียงนอนได้สองคน เรียกว่าพอนอนได้สมราคา
เวลาประมาณ 3 ทุ่ม มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมพบกับเฮียคนเดิมหน้าประตู เฮียเอาน้ำชามาให้ พร้อมถามว่าต้องการอะไรอีกไหม? ผมขอบคุณและตอบว่าไม่ต้องการอะไรอีก คือผมก็พอมีเสบียงพกติดตัวมาด้วย คืนนั้นเลยไม่คิดออกไปข้างนอก อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น(อีกแล้วเหรอ ผมคิด) เฮียคนเดิม กับคำถามเดิม พร้อมเสริมให้อีกว่าที่นี่จะปิดประตูสี่ทุ่มครึ่งและจะเปิดตอนเช้าเจ็ดโมงครึ่งนะ ผมตอบโอเค
ช่วงสายวันรุ่งขึ้น ผมลงมาข้างล่างพบอาม่านั่งอยู่ อาม่าก็ยังพูดภาษาญี่ปุ่นกับผมเหมือนเมื่อวาน ผมทักทายพร้อมกล่าวลา ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ตรงไปที่สถานีรถไฟซื้อตั๋วมุ่งหน้าสู่สถานีฟ่างเหลียว
ทำไมต้องไปฟ่างเหลียว? ก็เพราะดูจากแผนที่แล้วสถานีฟ่างเหลียวอยู่ใกล้ทะเลมากๆ และนี่ก็คือทิวทัศน์ระหว่างทางครับ
ระยะทางไกลกว่าเดินทางจากเกาสงมาผิงตงอีก หลับไปหลายตื่นเลยแหละกว่าจะมาถึงที่นี่ สถานีฟ่างเหลียว
ออกจากสถานี ก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่ทะเลแล้วครับ
ป.ล. กลับมาเล่าเรื่องเฮียให้พี่ที่ทำงานฟัง พี่เขาบอกว่า บางทีเฮียแกเห็นเราเดินทางมาคนเดียว เฮียแกอาจต้องการสื่อว่าหากเราต้องการผู้หญิงก็บอกเฮียแกได้ แต่ตัวผมไม่เข้าใจความหมายที่เฮียแกพยายามสื่อก็เท่านั้นเอง...(เฮ้อ ก็น่าจะบอกตรงๆตั้งแต่แรกนะเฮีย)
Post a Comment: