วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

           ก๊อก..ก๊อก  เสียงเคาะประตูห้อง  ปลุกให้ผมตื่น  รู้สึกพึ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง  ผมเดินไปเปิดประตู  พบชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้าห้องพร้อมทักทายผมเป็นภาษาอังกฤษ  เขาขอเอกสารประจำตัวผมเพื่อบันทึกข้อมูลแขกที่มาพัก  ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า  ตอนเข้ามาเราเองก็ยังไม่ได้แสดงหลักฐานประจำตัวอะไรให้เขาเลยนี่นา  ก็หลังจากอาม่าพาขึ้นมาดูห้อง  ผมตกลงจะพักที่นี่แล้วก็จ่ายเงินให้อาม่าไป  จากนั้นก็อาบน้ำ  และนอนหลับจากความเหนื่อยล้าที่เดินมาทั้งวัน
          หลังจากเขาบันทึกข้อมูลของผมเสร็จ  เขาก็ถามผมว่าต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่า?  ผมก็ถามว่าผมออกไปหาซื้อของได้ใช่ไหม?(ตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม)  เขาก็ตอบว่าได้(เฮียพยายามใช้ภาษาอังกฤษกับผม  แต่ผมรู้สึกว่าจะง่ายสำหรับเฮียมากกว่าถ้าใช้ภาษาจีนกลางเพราะผมก็พอพูดได้  จึงคุยโต้ตอบเฮียเป็นภาษาจีนกลาง  แต่เฮียก็ยังพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี  ถ้าใครมาเห็นการสนทนาของเราสองคน  คงตลกน่าดู  คนหนึ่งถามเป็นภาษาอังกฤษ  อีกคนตอบเป็นภาษาจีนกลาง  แต่ก็คุยกันรู้เรื่อง  นี่อาจเรียกได้ว่า  'คุยคนละภาษาก็เข้าใจกันได้')
          พูดถึงห้องพักที่เมืองผิงตง  ราคาคืนละ 500 เหรียญไต้หวัน  ราคาต่างกันมากกับห้องพักในเมืองเกาสงที่ผมไปพักคืนแรก  สภาพภายในห้องก็ย่อมต่างกัน




ภาพนี้เป็นภาพเดียว  ที่ผมได้ถ่ายภายในห้องพักคืนนั้น  รู้สึกสะดุดตากับเครื่องปรับอากาศ  ผมขออนุญาตเรียกว่า "แอร์กล่อง" ละกัน  จากที่ผมสังเกต  ที่ไต้หวันนี้ค่อนข้างนิยมใช้แอร์กล่องแบบนี้(จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ  ไม่ได้อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งใด)  สภาพค่อนข้างเก่า  เวลาเปิด  เสียงดังพอสมควร แต่เย็นเฉียบเลยนะครับ  คืนนั้นผมก็ไม่ได้เปิดใช้หรอกครับ  อยู่ในช่วงหน้าหนาวกลางคืนอุณหภูมิอยู่ที่ 13-15 องศาเซลเซียส เลยทีเดียว  ภายในห้องก็ค่อนข้างเก่า  มีทีวีเครื่องเล็ก  ห้องน้ำเล็ก  เตียงนอนได้สองคน  เรียกว่าพอนอนได้สมราคา
          เวลาประมาณ 3 ทุ่ม  มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง  ผมพบกับเฮียคนเดิมหน้าประตู  เฮียเอาน้ำชามาให้  พร้อมถามว่าต้องการอะไรอีกไหม?  ผมขอบคุณและตอบว่าไม่ต้องการอะไรอีก  คือผมก็พอมีเสบียงพกติดตัวมาด้วย  คืนนั้นเลยไม่คิดออกไปข้างนอก  อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา  เสียงเคาะประตูดังขึ้น(อีกแล้วเหรอ  ผมคิด)  เฮียคนเดิม  กับคำถามเดิม  พร้อมเสริมให้อีกว่าที่นี่จะปิดประตูสี่ทุ่มครึ่งและจะเปิดตอนเช้าเจ็ดโมงครึ่งนะ  ผมตอบโอเค
          ช่วงสายวันรุ่งขึ้น  ผมลงมาข้างล่างพบอาม่านั่งอยู่  อาม่าก็ยังพูดภาษาญี่ปุ่นกับผมเหมือนเมื่อวาน  ผมทักทายพร้อมกล่าวลา  ทานอาหารเช้าเสร็จ  ก็ตรงไปที่สถานีรถไฟซื้อตั๋วมุ่งหน้าสู่สถานีฟ่างเหลียว




ทำไมต้องไปฟ่างเหลียว?  ก็เพราะดูจากแผนที่แล้วสถานีฟ่างเหลียวอยู่ใกล้ทะเลมากๆ  และนี่ก็คือทิวทัศน์ระหว่างทางครับ











ระยะทางไกลกว่าเดินทางจากเกาสงมาผิงตงอีก  หลับไปหลายตื่นเลยแหละกว่าจะมาถึงที่นี่  สถานีฟ่างเหลียว



ออกจากสถานี ก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่ทะเลแล้วครับ




ป.ล.  กลับมาเล่าเรื่องเฮียให้พี่ที่ทำงานฟัง  พี่เขาบอกว่า  บางทีเฮียแกเห็นเราเดินทางมาคนเดียว  เฮียแกอาจต้องการสื่อว่าหากเราต้องการผู้หญิงก็บอกเฮียแกได้  แต่ตัวผมไม่เข้าใจความหมายที่เฮียแกพยายามสื่อก็เท่านั้นเอง...(เฮ้อ  ก็น่าจะบอกตรงๆตั้งแต่แรกนะเฮีย)





Post a Comment:

:)
:(
=(
^_^
:D
=D
|o|
:"(
;)
(Y)
:o
:p
:P

Designed By Blogger Templates | Templatelib & Distributed By Blogspot Templates