ฝันเก้าเดือน 1.0
ในค่ำคืนอันมืดมิด พื้นถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เสียงคนที่มารอรับ บอกให้รู้ว่าช่วงสองถึงสามชั่วโมงก่อนหน้านี้
ฝนตกหนักมาก มิน่าล่ะเครื่องถึงลงจอดไม่ได้เสียที
เด็กชายเก่งลากกระเป๋าเดินทางสีดำใบโต
มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน บ้านหลังเล็กหลังเดิม
ที่ได้พักอาศัยใต้ชายคามายี่สิบกว่าปี ยกเว้นสามปี
หลังสุดที่ไม่ได้กลับบ้านเลยจนถึงวันนี้ เวลาเที่ยงคืน
กว่า ทั่วทั้งซอยเงียบสนิท มีเสียงจิ้งหรีดเสียงอึ่งอ่าง
ร้องแข่งกันระงม อากาศเย็นสบาย เสียงพวงกุญแจ
กระทบกันอยู่ในมือของเด็กชายเก่งขณะไขประตูไม้
หน้าบ้าน ประตูไม้เปิดออก เจอประตูเหล็กด้านใน
ชายหนุ่มออกแรงผลัก แต่ประตูไม่ขยับ
เด็กชายเก่งถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ได้ผิดหวัง
ที่เปิดประตูเหล็กไม่ออก แต่ผิดหวังที่ต้องเรียกแม่
ซึ่งกำลังหลับให้ตื่นขึ้นมาเปิดประตูบ้านให้ เพราะ
ประตูเหล็กถูกลงกลอนจากด้านใน และนั่นก็หมาย
ถึงแผนของเด็กชายเก่งที่ต้องการเซอร์ไพรส์แม่ก็พัง
ทลายลงไปด้วย คิดดูแล้วกันว่ากว่าสามปีที่ไปทำงาน
ยังต่างแดน กลับมาก็อยากทำให้แม่ประหลาดใจบ้าง
อุตส่าห์ปิดกำหนดการเดินทางกลับเป็นความลับแล้วเชียว
"ม๊า เปิดประตูให้หน่อย" เด็กชายเก่งส่งเสียง (ปะป๊า มะม๊า เป็นคำเรียกพ่อและแม่ ที่ได้รับ
สั่งสอนให้เรียกมาตั้งแต่เด็ก อาม่า หรือย่าของ
เด็กชายเก่งนั้นเป็นคนจีน) ครู่เดียวแสงไฟในบ้าน
ก็สว่างขึ้น ประตูเหล็กถูกเปิดออก แล้วภาพในหัว
ที่เด็กชายเก่งคิดเอาไว้ก่อนก็ผุดขึ้นมา ภาพที่เขานั้น
จะสวมกอดม๊าทันทีที่เจอหน้า เวลาอันเหมาะสมมาถึงแล้ว...
"ม๊า หวัดดี" เด็กชายเก่งว่า พนมมือไหว้แล้ว
โผเข้ากอดม๊าทันที ม๊ายิ้มเล็กน้อยและดูเหมือนไม่ค่อย
ประหลาดใจนัก กับการที่จู่ๆลูกชายก็กลับถึงบ้านทั้งที่
เมื่อวานที่คุยกัน พ่อหนุ่มยังหายใจอยู่ที่ไต้หวันอยู่เลย
จะว่าไปเด็กชายเก่งต้องรวบรวมความกล้าเป็นอันมาก
ในการกอดม๊า ด้วยความที่เป็นผู้ชายขี้อาย พูดน้อย
ไม่ค่อยได้พูดคุยกับม๊ามากดังเช่นน้องสาวของเขา
อ้อมกอดนี้จึงไม่ใช่เพียงอ้อมกอดแรกในรอบสามปี
หากเรียกว่าเป็นอ้อมกอดแรกในรอบยี่สิบปีก็เห็นจะ
ไม่เกินเลยไปสักเท่าใดนัก
"อ้าว ไหนว่ายังไม่กลับไง?" ม๊าสงสัย เด็กชายเก่ง
ยิ้มรับแทนคำตอบ (เห็นไหม พึ่งเล่าให้ฟังยังไม่ทันไร
หนุ่มขี้อาย พูดน้อย คนเดิมก็กลับมาอีกแล้ว) หลายสิ่ง
หลายอย่างภายในบ้านเปลี่ยนแปลงไปมาก เด็กชายเก่ง
เดินตรงไปยังห้องนอน โปสเตอร์หนังเรื่องตำนานสมเด็จ
พระนเรศวรมหาราช ภาคสอง ประกาศอิสรภาพ
ยังคงแปะอยู่บนบานประตูห้อง เมื่อเปิดประตูเข้าไป
เด็กชายเก่งถึงกับผงะ ตุ๊กตา ถ้วยชาม เสื้อผ้า
กล่องกระดาษ และอะไรต่อมิอะไรวางกองพะเนิน
จนเกือบเต็มพื้นที่ห้อง มีเสียงรำพึงเบาๆ "สามปีนี่นาน
จริงๆเนอะ ห้องนอนกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว"
ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ยิ้มเบาๆ เป็นสัญญาณ
ว่าทำใจได้แล้วกับสิ่งที่พบเจออยู่ตรงหน้า จึงค่อยๆ
ปิดประตู พลันเผชิญหน้ากับโปสเตอร์ใบเดิมอีกครั้ง
ใช่จริงๆด้วย ข้าวของมากมายกำลัง
'ประกาศอิสรภาพ' อยู่ภายในห้อง พลันครุ่นคิด
นี่ถ้าหากเขาแปะโปสเตอร์หนังเรื่อง 'หวีด สยอง' เอาไว้ เขาคงแทบไม่กล้าเปิดประตูห้องแน่ๆ
Post a Comment: