ชีวิตติดล้อ(7)
ในแต่ละวันทำงานผมแทบไม่ต้องพกเงินมากมายไปด้วย หากรถจักรยานยนต์ยังคงมีน้ำมันเพียงพอสำหรับทั้งขาไปและขากลับ ผมจะพกเงินไปสำหรับค่าอาหารเท่านั้น บางวันผมไม่พกเงินติดตัวไปเลย เรียกว่าไปหาเอาข้างหน้า ผมอาจคิดไปเองก็ได้ แต่หลายครั้งที่ผมพกเงินติดตัวมากๆมาทำงาน ผมมักไม่ได้ทิปหรือได้ทิปน้อย
ช่วงแรกที่ผมเริ่มงานความรู้สึกที่สัมผัสได้จากเพื่อนๆคือแทบทุกคนจะให้ความสำคัญกับทิป ถึงวันนี้ผมจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะเงิน 70 บาทที่ได้จากบริษัทหลังให้บริการผู้โดยสาร 1 เที่ยวนั้นค่อนข้างลำบากที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจเข็นได้ 5-6 เที่ยวต่อกะ ได้ค่าแรง 350-420 บาทต่อวันก็พออยู่ได้ แต่หากหมดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจได้เข็นเพียง 2-3 เที่ยวต่อกะได้ค่าแรง 140-210 บาทต่อวัน! แล้วพวกเราจะอยู่อย่างไร? สำหรับคนที่ยังไม่มีครอบครัวก็แย่พอแล้ว ใครที่มีครอบครัวมีลูกที่ต้องเลี้ยงดู ค่าแรงเท่านี้คงไม่พอกับค่าใช้จ่าย ชีวิตทำงานของพวกเราจึงอยู่กับความหวังว่าวันนี้จะได้ทิปหรือเปล่า? จะได้มากน้อยเท่าไร? ผมไม่ได้เขียนให้คุณรู้สึกสงสารพนักงานเข็นรถวีลแชร์แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับคุณผู้อ่านทุกท่าน หลายคนทำงานนี้มาหลายปีก็ยังทำอยู่ หลายข้อจำกัด ทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น ครอบครัวที่ต้องดูแล ทำให้ยากต่อการออกไปหางานอื่นทำ หลายคนที่อายุยังน้อยเข้ามาทำได้สักปี สองปี ก็มองหางานใหม่แล้ว เพราะมองออกว่างานนี้คงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ไม่มาก เงินทิปที่ได้มาอย่างคล่องมือ ก็ถูกใช้จ่ายไปอย่างคล่องมือเช่นกัน
ลักษณะนิสัยของพนักงานเข็นรถวีลแชร์จะมีบางอย่างที่คล้ายกันคือ เป็นผู้ชายสปอร์ต(พนักงานเข็นรถมีแต่ผู้ชายนะครับ) ไม่คิดเล็กคิดน้อย พร้อมช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ประมาณนี้ครับ มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนบุคคลไป เงินทิปที่ได้มาผมบันทึกไว้เมื่อรวมกับเงินเดือนแล้ว อาชีพนี้ทำเงินให้ผมมากกว่าอาชีพอื่นที่เคยทำมา ซึ่งผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าอาชีพนี้ไม่มีความมั่นคงเลย อยู่กับความคาดหวังไปวันๆ อาจได้ทักษะทางภาษาบ้าง แต่เนื้องานก็คือการใช้แรงงานเป็นหลัก หลายครั้งที่ข้อจำกัดทางร่างกายเตือนให้ผมเร่งหางานใหม่เสียที ผมมีรูปร่างผอมบาง สูง 167 เซนติเมตร หนัก 50 กิโลกรัม เวลาที่ได้ให้บริการผู้โดยสารที่มีน้ำหนักมากผมต้องออกแรงเข็นมากเช่นกัน หากต้องเข็นผู้โดยสารขึ้นทางลาดชัน หลายครั้งเล่นเอาผมเหนื่อยหอบเลยทีเดียว ผู้โดยสารที่สามารถเดินได้ ทั้ง WCHR และ WCHS เราจะใช้รถวีลแชร์แบบปกติ เมื่อถึงที่หมาย ผู้โดยสารสามารถลุกขึ้นเดินเองได้ มีลักษณะตามภาพด้านล่าง
รถวีลแชร์แบบปกติ
(ขอบคุณภาพจาก wheelchairassistance.com)
แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถเดินได้ ทั้ง WCOB และ WCHC เราต้องใช้รถวีลแชร์แบบพิเศษหรือที่เรียกว่า "รถวีลแชร์เคบิน"(Cabin Wheelchair) โดยมีลักษณะตามภาพด้านล่าง
รถวีลแชร์เคบิน(Cabin Wheelchair)
(ขอบคุณภาพจาก www.ana.co.jp)
รถวีลแชร์เคบินสามารถเข็นเข้าไปในเครื่องบิน เพื่อเคลื่อนย้ายผู้โดยสารจากที่นั่งบนเครื่องบิน ผู้โดยสารบางท่านสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองจากที่นั่งบนเครื่องมายังรถวีลแชร์เคบินได้ พนักงานเข็นรถก็เพียงประคองรถวีลแชร์ให้นิ่งและคอยดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารขณะเคลื่อนย้าย สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้าย พนักงานต้องเคลื่อนย้ายตัวผู้โดยสารตามขั้นตอนที่ได้รับการอบรมมาเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นพนักงานต้องมีร่างกายที่แข็งแรงซึ่งจำเป็นในการโอบอุ้ม หรือพยุงตัวผู้โดยสาร หลายครั้งที่ผมใช้รถวีลแชร์เคบินให้บริการผู้โดยสารโดยผ่านไปอย่างทุลักทุเล มีครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ดีผู้โดยสารเป็นฝรั่งผู้ชายรูปร่างท้วม ขึ้นเครื่องมาจากยุโรป หลังจากผู้โดยสารทั่วไปลงจากเครื่องแล้ว ผมก็เข็นรถวีลแชร์เคบินเข้าไปจอดเทียบกับที่นั่งของผู้โดยสาร จากนั้นผมก็สอดแขนเพื่อยกตัวผู้โดยสารที่นั่งกอดอกอยู่ ผมออกแรงยกตัวผู้โดยสารแต่ก็ไม่เป็นผล ญาติของผู้โดยสารคนนั้นยืนมองพร้อมกับส่ายหน้า ผมพยายามอีกครั้ง เจ้าหน้าที่สายการบินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาช่วยผมอีกแรง และเราก็ย้ายผู้โดยสารมานั่งบนรถวีลแชร์เคบินได้ ผมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นพลางรู้สึกผิด ที่ผมไม่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงพอจะยกตัวผู้โดยสารฝรั่งคนนั้นได้ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากซึ่งเตือนผมว่า ผมคงไม่เหมาะกับงานนี้
(หมายเหตุ รหัส SSR ที่ใช้อ้างอิงประเภทผู้โดยสาร คำอธิบายอยู่ในบทความ "ชีวิตติดล้อ(3)-(4)")
Post a Comment: